วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

[Romeo & Juliet] โรมิโอ&จูเลียต

Prokofiev - Romeo And Juliet - Nureyev 

        ผู้แต่งบทละครเรื่องนึ้คือ วิลเลียม เชคสเปียร์ (1564-1616) ละครเรื่องนี้เป็น "Romantic Tragedy" สมมติเวลาในราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 สถานที่คือเมือง Verona ในอิตาลี และได้มีการนำเสนอเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.1595
เนื้อเรื่องในละครเป็นที่จับใจคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเน้นความรู้สึกอ่อนหวานของคนที่มีความรัก บวกกับความทุกข์อย่างสาหัส ในชะตากรรมที่ต้องเผชิญ เหล่านี้ล้วนสร้างความรู้สึกผูกพันระหว่างผู้อ่านกับตัวละครในเรื่อง ผู้อ่านจะพยายามช่วยหาทางออก และเอาใจช่วยให้ทั้งสองหนุ่มสาวได้สมรัก แต่เมื่อเรื่องจบลงด้วยความเศร้า ผู้อ่าน หรือผู้ชมละครก็ดูจะยิ่งเหน็ดเหนื่อย และจดจำเรื่องโรมิโอกับจูเลียตอยู่ไม่ลืม บทละครเรื่องนี้นับได้ว่า เป็นต้นแบบของผู้เขียนเรื่องนวนิยายต่อมาอีกหลายคนที่มักจะเขียนเรื่องให้จบลงด้วยความเศร้า เพราะหวังให้เป็นที่ประทับใจผู้คนด้วยเหมือนกัน
เชคสเปียร์เน้นเรื่องความทุกข์และเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นในเรื่องว่า เป็นเพราะกรรมของคนสองคน ทั้งความสุขและความทุกข์ของตัวละครถูกวางไว้ในจุดที่สูงสุด คือเมื่อมีความสุขก็รู้สึกได้ว่าเป็นความสุขล้นเหลือ แต่เมื่อประสบความทุกข์ ก็เป็นความทุกข์สุดยอด ไม่มีทุกข์ไหนจะเทียบได้อีก และความทุกข์ และสุขนั้นก็เกิดขึ้นตามวิถีแห่งกรรมที่ไม่อาจขัดขืนได้ แม้จะดูเหมือนมีผู้ช่วยที่ดีเข้ามาจัดการอย่างท่านบาทหลวงในเรื่องก็ตาม
อนึ่ง หากแยกพิจารณาเรื่องของสองครอบครัวที่ขัดแย้งกัน จะเห็นว่าทั้งสองครอบครัวก็เป็นครอบครัวที่ดี มีความจงรักภักดี และมีคุณธรรม ทั้งพระเอก และนางเอกต่างก็รับเอาคุณสมบัติดีๆ นั้นมาไว้ในตัวโดยครบถ้วน กล่าวคือทั้งสองเป็นคนดีมีคุณธรรม กล้าหาญ และมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้งจริงใจ แต่น่าเสียดายที่เป็นเพราะความบาดหมางระหว่างครอบครัวแท้ๆ ที่ก่อให้เกิดเงื่อนเคราะห์จนทำให้สองหนุ่มสาวแก้ไขปัญหาความรักของตนไม่ได้

เนื้อเรื่องย่อ
สองครอบครัวคือ Montagues กับ Capulets ในเมืองเวโรนา ประเทศอิตาลีมีเรื่องขัดแย้งกันถึงกับมีการท้าดวล และต่อสู้กันด้วยวิธีอื่นๆ ถึงตายมาแล้วหลายครั้ง

โรมิโอเป็นบุตรชายในตระกูลมอนตากิวหลงรักสตรีนางหนึ่งชื่อ Rosaline แต่นางไม่รักตอบ ทำให้โรมิโอผิดหวัง และพยายามจะ "ตื้อ" ให้เธอรักตอบให้ได้   จนวันหนึ่งเขาได้ทราบว่าโรซาลินจะไปร่วมงานเลี้ยงของพวกตระกูลคาปูเลท โรมีโอกับเพื่อนสนิทคือ Mercutio จึงเตรียมตัวไปร่วมงานด้วยการสวมหน้ากากเพื่อพบโรซาลินให้ได้ ชายหนุ่มพยายามมองหาเธอในงานนั้น แต่เขากลับได้พบสตรีงามอีกนางหนึ่ง เธอคือ จูเลียตผู้เป็นธิดาสาวของท่านเจ้าของงาน ความสวยน่ารักของจูเลียตทำให้โรมิโอลืมโรซาลินโดยสิ้นเชิง เขายังไม่ทราบว่าเธอเป็นใคร แค่ความที่เขามองจ้อง

แต่เธอคนเดียวทำให้ Tybalt ผู้เป็นหนึ่งในตระกูลคาบูเลทไม่พอใจ เขาฉุนจนถึงกับชักดาบออกมาขู่โรมิโอ ทั้งสองคงจะถึงกับลงมือต่อสู้กันเป็นแน่ ถ้าญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่ออกมาห้ามไว้ ทั้งสองเลิกแล้วต่อกันโดยที่ไทบอลท์ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้
โรมิโอได้เต้นรำกับจูเลียต เขาขออนุญาตจูบมือเธอ จูเลียตอนุญาตโดยไม่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นใคร แต่เธอก็ซาบซึ้งในการแสดงออกของชายหนุ่มยิ่งนัก โรมิโอจึงขอจูบปากเธอ จูเลียตไม่ขัดขืน แต่พี่เลี้ยงของจูเลียตได้ออกมาขัดขวางก่อนที่ทั้งสองจะเลยเถิดกันต่อไปอีก พี่เลี้ยงบอกจูเลียตว่ามารดาของเธอต้องการพบ เมื่อเธอไปแล้ว พี่เลี้ยงจึงบอกโรมิโอว่าจูเลียตเป็นใคร ฝ่ายโรมิโอตกใจมากเมื่อรู้ว่าจูเลียตคือบุตรสาวของตระกูลคาปูเลท เขารู้ทันที่ว่าความรักของเขาจะต้องมีอุปสรรค แต่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้ ส่วนจูเลียตก็เพิ่งรู้ว่าโรมิโอเป็นุตรชายของตระกูลมอนตากิว


โรมิโอกลับบ้านวันนั้นด้วยความหลงใหลจูเลียต เขาลักลอบไปที่บ้านของเธอ และไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของจูเลียต เขาต้องประหลาดใจที่เห็นจูเลียตออกมายืนที่ระเบียง ฝ่ายจูเลียตคิดว่าเธอคิดว่าเธออยู่ที่นั่นตามลำพัง เธอจึงรำพึงดังๆ ว่าไม่อยากให้โรมิโอเป็นพวกมอนตากิว เมื่อได้ยินดังนั้น โรมิโอไม่อาจอยู่นิ่งได้ เขาปรากฎตัวให้เธอเห็น จูเลียตเขินอายในตอนแรกแต่ต่อมาก็กลับยินดีที่ได้พบชายที่เธอเองก็หลงรัก ทั้งสองสารภาพรักซึ่งกัน และกัน ทั้งยังหวังไกลต่อไปถึงขั้นที่จะได้แต่งงานกันในวันรุ่งขึ้น

โรมิโอดีใจมาก เขารีบไปหาหลวงพ่อที่วัดเพื่อให้ท่านช่วยทำพิธีให้ ฝ่ายบาทหลวงเมื่อรู้เรื่องความรักของคนทั้งสองก็คิดในแง่ดีว่า การที่ทั้งสองรักกัน และจะแต่งงานกันอาจเป็นผลให้สองตระกูลคืนดีกันก็ได้ ท่านจึงตกลงที่จะช่วยจัดการแต่งงานให้สองหนุ่มสาว

ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น โรมิโอกับเพื่อนสองคนคือ Mercutio กับ Benvolio ก็ได้รับข่าวจากพี่เลี้ยงของจูเลียตว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว จูเลียตจะมาร่วมพิธีแต่งงานแล้วจะรีบกลับบ้านทันทีที่พิธีเสร็จ เพื่อให้บาทหลวงมีเวลาประกาศการแต่งงานของทั้งสองให้ทุกคนได้รับรู้ก่อน เพราะถ้าทั้งสองแต่งงานกันตามพิธีการทุกอย่าง แล้วบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายก็จะไม่สามารถคัดค้านได้ โรมิโอยังฝากมานัดแนะจูเลียตด้วยว่า เขาจะไปพบเธอคืนนี้    

ในเช้าวันแต่งงานนั้นเอง เพื่อนของโรมิโอเดินมาตามถนน เขาได้พบกับไทบอลท์โดยบังเอิญ ไทบอลท์ยั่วโทสะเมอคิวติโอจนเขาเดือดดาลเลยเกิดการประลองกำลังกัน ฝ่ายโรมิโอกลับจากงานแต่งงานจึงพยายามพูดให้ทั้งสองฝ่ายยุติความขัดแย้งกันแต่โดยดี  ไทบอล์กลับด่าว่าโรมิโออย่างหยาบคายจนเมอคิวติโอทนไม่ได้ เขาชักดาบออกมาทำท่าจะสังหารไทบอลท์ แต่ไทบอลท์นั้นเป็นนักดาบที่มีฝีมือดีที่สุด ดังนั้น แทนที่เมอคิวติโอจะเป็นฝ่ายสังหารไทบอลท์ ไทบอลท์กลับแทงเมอคิวติโอตาย โรมิโอไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาเข้าต่อสู้กับไทบอลท์ และฆ่าไทบอลท์ตายบ้าง ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์พากันเข้ามามุงดู โรมิโอจึงต้องหนีออกจากเมืองเวโรนา

โรมิโอต้องพยายามหลบหนีตำรวจโทษฐานฆ่าคนตายไป ที่วัดของหลวงพ่อ หลวงพ่อแนะนำให้โรมิโอพาจูเลียตหนีไปอยู่ที่อื่นก่อน เพราะหลวงพ่อยังจะต้องใช้เวลาในการกระจายข่าวการแต่งงานของทั้งสองคนให้เป็น ที่รู้กันทั่วไปก่อน โรมิโอเชื่อคำแนะนำนี้ เขาจึงเตรียมไปพบจูเลียตในตอนกลางคืน เพื่อนัดแนะพาเธอหนีไปในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

ฝ่ายบิดาของจูเลียตตกลงใจให้จูเลียตแต่งงาน เขาไม่รู้เรื่องของลูกสาวกับโรมิโอ จึงเตรียมการแต่งงานลูกสาวกับชายหนุ่มรูปหล่อชื่อ Paris เมื่อบิดาบอกเรื่องนี้ให้ทราบ จูเลียตตกใจมากแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอแต่งงานแล้วกับโรมิโอ ที่บัดนี้กลายเป็นผู้ร้ายฆ่าไทบอลท์ เธอเกรงว่าสามีของเธอคือโรมิโอจะต้องถูกตามล่าหนักขึ้น และอาจจะถูกสังหารโดยฝ่ายครอบครัวของเธอ

จูเลียตจึงเพียงแต่พยายามปฎิเสธการแต่งงานระหว่างเธอกับปารีส เมื่อบิดาไม่ยินยอม จูเลียตจึงต้องวิ่งไปพบบาทหลวงขอให้ช่วยหาทางออกให้ บาทหลวงจึงให้น้ำยาชนิดหนึ่งแก่เธอ ท่านสั่งให้เธอดื่มในคืนก่อนแต่งงาน ยานี้จะทำให้เธอตายไปเพียงชั่วสองสามวันแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้ใหม่ ถึงตอนนั้น ร่างของเธอก็ถูกนำไปเก็บที่สุสานของตระกูล ส่วนหลวงพ่อก็จะไปตามโรมิโอมารับเธอเมื่อเธอฟื้นขึ้นใหม่ หากแผนการณ์นี้สำเร็จทั้งสองก็จะเป็นอิสระ และหนีไปใช้ชีวิตใหม่ที่เมืองอื่น จูเลียตยอมรับแผนการณ์นี้ เธอกลับบ้านไปพบปารีส และบอกเขาว่าเธอพร้อมที่จะแต่งงานด้วย

ครอบครัวคาปูเลทเตรียมงานแต่งงานเป็นการยิ่ง ใหญ่ ทั้งหมดไม่รู้เลยว่าแทนที่งานแต่งงานจะลุล่วงนั้น ทุกคนกลับต้องไปงานศพของจูเลียตแทน ทั้งนี้เพราะจูเลียตได้ดื่มยาพิษที่บาทหลวงให้ในคืนก่อนแต่งงานนั่นเอง เธอนอนทอดร่างเหมือนคนตายไปจริงๆ ดังนั้นครอบครัวของเธอจึงนำร่างของเธอไปเก็บไว้ที่สุสานของตระกูลด้วยความโศกเศร้า

บาทหลวงรีบเขียนจดหมายไปถึงโรมิโอที่เมือง Mantua บอกเล่าแผนการณ์ที่ทั้งสองจะได้มีโอกาสหนีไปอยู่ด้วยกัน แต่ปรากฎว่าจดหมายของท่านบาทหลวงไปถึงโรมิโอช้าไป โรมิโอได้ทราบข่าวการตายของจูเลียตก่อน เขาตัดสินใจเดินทางไปเมืองเวโรนาทันทีเพื่อกล่าวคำลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากนี้เขายังเตรียมยาพิษไปดื่มเพื่อฆ่าตัวตายเคียงข้างเธอด้วย

โรมิโอมาถึงหลุมศพในตอนกลางคืน เขาได้พบหนุ่มน้อยปารีสที่มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับศพเจ้าสาวของตน เขาคิดว่าโรมิโอเป็นคนที่จะมาขโมยศพจึงชักดาบออกมา ฝ่ายโรมิโอก็คิดว่าปารีสเป็นพวกคาปูเลทที่เกลียดชังเขา จึงฆ่าชายหนุ่มเสีย ทว่าเมื่อจุดตะเกียงขึ้น จึงรู้ว่าเป็นปารีสชายหนุ่มเคราะห์ร้าย เขาสงสารปารีสผู้หลงรักจูเลียตจึงช่วยลากศพชายหนุ่มไปนอนข้างศพจูเลียตด้วย ส่วนตัวเขาเองก็ตัดสินใจดื่มยาพิษที่นำมาด้วยจนได้ตายข้างศพจูเลียตสมความตั้งใจ

ฝ่ายบาทหลวงเห็นว่าใกล้เวลาที่จูเลียตจะฟื้นแล้ว ท่านตกใจมากเมื่อรู้ว่าโรมิโอไม่ได้รับจดหมายของท่าน ท่านจึงตัดสินใจจะไปบอกจูเลียตเรื่องนี้ เมื่อมาถึงหลุมศพ ท่านก็พบโรมิโอตายแล้ว ส่วนจูเลียตที่ตื่นขึ้น และถามหาสามี เธอเห็นศพชายหนุ่มยังคงถือถ้วยยาพิษอยู่ในมือ เธอเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงพยายามจูบชายหนุ่มเพื่อเลียเอายาพิษที่ริมฝีปากของเขาแต่ยาพิษไม่มากพอที่จะทำให้ตายได้ เธอจึงดึงกริชของเขาออกมาและแทงตัวเอง

ทันใดนั้น สัปเหร่อเห็นทั้งสามศพนอนเรียงกันอยู่ เขารู้สึกประหลาดใจมาก และรีบนำข่าวไปบอกทุกๆ คน ทั้งตระกูลมอนตากิวกับคาปูเลทพากันมาที่หลุมศพ บาทหลวงจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ทุกคนพากันเศร้าสลด และสงสารในชะตากรรมของคนทั้งสองรวมทั้งปารีสด้วย ทั้งสองตระกูลจึงตั้งสัตย์สาบานต่อกันต่อหน้าศพของทั้งสองหนุ่มสาวที่จะยุติ ความขัดแย้งระหว่างกันเสียที 
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้
         แสดงถึงอานุภาพแห่งความรักที่ทั้งโรมิโอและจูเลียตมีต่อกันจนไม่หวาดหวั่นแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต สำหรับเรื่องความบาดหมางระหว่างตระกูลที่สืบทอดกันมาเห็นได้ชัด ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่กลับนำความตายมาสู่ลูกหลานของตนเอง หรืออาจสรุปว่าความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของผู้เยาว์นั้น ในบางครั้งก็เป็นความรักยิ่งใหญ่ที่คนแก่และคนที่มีความอาฆาตมาดร้ายต่อกันในอดีตไม่สมควรนำมาใช้ขัดขวางความบริสุทธิ์ และซื่อสัตย์ของหนุ่มสาวเลย

ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/44098

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น