วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

History of Ballet : ประวัติบัลเล่ต์

        "บัลเล่ต์" เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอิตาเลี่ยนจากคำว่า "balli" ที่แปลว่า "การเต้นรำ" ศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลี ซึ่งการแสดงบัลเล่ต์ในยุคแรกเริ่มนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากยุคปัจจุบันมาก โดยกลุ่มผู้มีบทบาทในการพัฒนารูปแบบศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ในอิตาเลี่ยนคือ กลุ่มขุนนางชายในราชสำนักอิตาเลี่ยน เนื่องจากความยากลำบากของเครื่องแต่งกายของเหล่าขุนนางฝ่ายหญิงที่มีลักษณะ เป็นกระโปรงสุ่มยาวจึงยากแก่การปฏิบัติท่าเต้น
 
1.)นาฏยกรรมสมัยโบราณและสมัยกลาง 
       นาฏกรรมในอิตาลียุคนี้มีสองประเภทคือ ดันเซ่ - Danze และบัลลี - Balli (คำเอกพจน์คือ Ballo) นาฏศิลป์ทั้งสองประเภทนี้เทคนิกการเต้นไม่แตกต่างกันแต่ดนตรีที่ใช้แตกต่างกัน  ดนตรีของดันเซ่ใช้จังหวะเป็นรูปแบบเดียวโดยตลอด ส่วนของบัลลีมีการใช้จังหวะดนตรีมากกว่าจังหวะเดียว
       นาฏกรรมในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือ"สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือยุค Renaissance"ของอิตาลีเจริญรุ่งเรือง มีครูนาฏศิลป์หรือที่ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า แมตร์ เดอ บาเล - maître de ballet ครูสอนนาฏศิลป์ในสมัยนั้นทำหน้าที่หลากหลาย ทั้งสอนดนตรีและสอนออกแบบนาฏกรรม กำกับวงดนตรีและกำกับการแสดง ตลอดจนสอนขนบธรรมเนียม และกิริยามรรยาทในการเข้าสังคมชั้นสูงด้วย
        ตอนช่วงต้นศต. 15 มีครูนาฏศิลป์คนหนึ่งชื่อโดเมนิโก ดา ปีอาเชนซา(Domenico da Piacenza) ซึ่ง ถือกันว่าเป็นครูและนักออกแบบนาฏกรรมคนสำคัญคนแรก อยู่ที่เมืองแฟราราในอิตาลี เขียนตำราชื่อว่า เด อาร์เต ซัลตันดี เอ็ต โกเรอัส ดูเช็นดี (De arte saltandi et choreas ducendi) ซึ่งเกี่ยวกับนาฏศิลป์และการกำกับคอรัส ทำให้เราได้รู้เทคนิกการเต้นรำซึ่งมีพื้นฐานมาจากอดีต
         การเต้นรำให้งดงามตามแบบของดา ปีอาเซนซานั้น ผู้เต้นรำต้องมีเท้าแข็งแรงและยืดหยุ่นดี ต้องวาง จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายให้โน้มไปข้างหน้า เลยกลางฝ่าเท้าไป 
         ศิษย์คนหนึ่งของดา ปีอาเชนซาคือ อันโตนีโอ กอร์นัซซาโน(Antonio Cornazzano) เป็นครูนาฏศิลป์ ประจำราชสำนักสฟอร์ซาในอิตาลี ได้พิมพ์หนังสือไว้เมื่อประมาณค.ศ. 1460 ชื่อ ลีโบร
แดลลาร์เต เดล ดันซาเร
(
Libro dell’arte del danzare) บรรยายถึงนาฏกรรมบัลลีว่าพวกครูนาฏศิลป์ได้นำการลีลาศแบบต่างๆ มาดัดแปลงเป็นนาฏกรรมการแสดง
         กูลเยลโม เอเบรโอ (Guglielmo Ebreo หรือ William the Jew) เป็นครูนาฏศิลป์อีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงได้ทำงานในราชสำนักหลายแห่งที่อิตาลี ก็เป็นศิษย์ของดา ปีอาเชนซาเช่นกัน เอเบรโอแต่งตำรานาฏศิลป์ ชื่อว่า เด ปราติกา เซอู อาร์เต ตรีปูดี - De Pratica seu Arte Tripudii บรรยายนาฏกรรมไว้มากกว่าห้าสิบชุด แบ่งเป็นชนิดบัสซา-ดันซา - bassa-danza ซึ่งมีลักษณะช้า ๆ สง่างาม ไม่มีการเขย่งเท้าและบัลลี - balli ซึ่งมีลีลาคึกคักกว่าและมีการเขย่งเท้า เอเบรโอเป็นคนแรกที่เริ่มใช้คำว่า บัลเล็ตโต - balletto
         ในช่วงศต.ที่15นี้เอง อิตาลีก็ได้มีการพัฒนานาฏกรรมบัลลีขึ้นในราชสำนัก (ซึ่งแม้จะมีความประณีต แต่ก็ยังใกล้เคียงกับการลีลาศที่คนทั่วไปนิยมกันในสมัยนั้น) 
 
2.)สมัยบัลเล่ต์ราชสำนัก(บัลเล่ต์ยุคแรกเริ่ม)
         พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิชิ แห่งฝรั่งเศส (Catherine de' Medici) เป็นผู้นำศิลปะการเต้นรำบัลลีไปพัฒนาที่ฝรั่งเศสและเรียกชื่อใหม่ว่า Ballet (คำว่า Ballet ที่เราใช้กันในปัจจุบันจึงเป็นภาษาฝรั่งเศสค่ะ) และจัดให้มีการแสดงบัลเล่ต์เมื่อพระนางอภิเษกกับกษัตริย์อองรีที่ 2
         การแสดงบัลเล่ต์ในยุคแรกเริ่มมีวัตถุประสงค์เพื่อการเยินยอรัฐ เพื่อต้อนรับพระราชอาคันตุกะและใช้ประกอบในงานราชพิธีสำคัญต่างๆของชนชั้นสูง        
        พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้มีอิทธิพลมากในการทำให้การเต้นรำในราชสำนักกลายเป็นการเต้นรำเพื่ออาชีพ(ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) และยุคนี้การแสดงบัลเล่ต์มีวัตถุประสงค์เพื่อการเยินยอกษัตริย์ พระองค์ร่วมแสดงละครบัลเล่ต์พระราชสำนักหลายเรื่อง เรื่องที่โด่งดังคือเรื่อง “La nuit” มีการระดมผู้คนทั้งในราชสำนัก นักการเมือง และผู้มีพรสวรรค์ทุ่มเทพัฒนาการแสดงเต้นรำ         
        ในค.ศ.1661 ทรงก่อตั้งสถาบันการเต้นรำอาชีพและสถาบันการดนตรีแห่งราชสำนัก และในปี 1671 จึงมีโรงเรียนสอนเต้นรำ ที่กรุงปารีส ซึ่งเปิดกว้างสู่สามัญชน

3.)สมัยก่อนบัลเลต์โรแมนติก 

        ในช่วงก่อนสมัยบัลเลต์โรแมนติก แม้บัลเลต์ราชสำนักจะไม่รุ่งเรืองสุดขีดเหมือนเดิม แต่ก็ยังมีแสดงอยู่ ในขณะเดียวกัน บัลเลต์ก็เริ่มพัฒนาเป็นศิลปะการแสดงบนเวทีในโรงละคร มีนาฏศิลปินอาชีพเกิดขึ้น จากการแสดงโดยชนชั้นสูงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงานรื่นเริงในราชสำนักและมักมี จุดประสงค์แฝงทางการเมือง บัลเลต์ได้พัฒนามาเป็นการแสดงในโรงละคร โดยศิลปินสามัญชนเพื่อสามัญชน
        ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17-18 มี การก่อตั้งมูลนิธิของบัลเล่ต์ที่ปัจจุบันเรียกกันว่า โอเปรา เดอ ปารี -l’Opéra de Paris (โอเปราแห่งปารีส ) เพื่อพัฒนาการเต้นให้ดียิ่งขึ้น เช่นการใช้เท้าที่ซับซ้อนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่นักเต้นบัลเล่ต์หญิงเริ่มมีบทบาทเด่นมากขึ้น มีละครบัลเล่ต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ เล แซงด์ กาลองต์ - Les Indes Galantes

Les Indes galantes - Les Sauvages
เลแซงด์กาลองต์ - ฉากคนป่า (อินเดียนแดง) 
Les Indes Galantes - Dance
เลแซงด์กาลองต์ - ฉากเต้นรำ
        ในปี 1681 นักเต้นหญิงมีโอกาสขึ้นเวที โดย Marie de Carmargo เป็นหนึ่งในนักเต้นบัลเล่ต์หญิงที่มีชื่อเสียงด้านระบำปลายเท้าที่ว่องไวและซับซ้อน เธอยังเป็นผู้ที่ตัดกระโปรงบัลเล่ต์ให้สั้นลง 2-3 นิ้ว เพื่อให้เต้นสะดวกขึ้น
                                                                 Marie de Carmargo
         กลางศตวรรษที่ 18 ได้เกิดการปฏิรูปบัลเลต์ขึ้น ให้หันมาใส่ใจกับการแสดงออกทางความรู้สึก มากกว่าจะมุ่งอวดเทคนิคการเต้น ในช่วงดังกล่าวนี้บัลเลต์เริ่มแยกจากโอเปรา พร้อมกันนั้นก็มีนักปฏิรูปบางคนเกิดทัศนะว่าบัลเลต์ควรสื่อความหมายและ ดำเนินเรื่องได้โดยไม่ต้องพึ่งถ้อยคำการขับบทกวีหรือขับร้องเล่าเรื่อง  ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการแสดงชนิดที่เรียกว่าบาเล ดักซียง - ballet d'action
        บาเล ดักซียง หมายถึงบัลเลต์ที่สื่อสารเนื้อหาสาระและความรู้สึก ด้วยกิริยา - action มากกว่าจะอาศัยถ้อยคำหรือบทขับร้อง
        บุคคลสำคัญผู้เสนอและเผยแพร่ความคิดเช่นนี้คือ นักออกแบบนาฏกรรมและครูสอนบัลเลต์ชื่อ 
ฌอง จอร์จ โนแวร์ - Jean George Noverre
        ผู้ที่นำแนวความคิดของโนแวร์ไปปฏิบัติคือ ฌอง โดแบร์วาล ผู้ออกแบบท่าเต้นทิ่ยิ่งใหญ่ เขาออกแบบท่าเต้นรำและสร้างตัวละครสามัญชนในละครเรื่อง La Fille Mal Gardeé - ลูกสาวแสนซน (1789) นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเรื่องราวชีวิตของสามัญชนมาสร้างเป็นบัลเลต์ ไม่ต้องอาศัยแต่เรื่องจากเทพกรณัมเพียงอย่างเดียว เท่ากับเป็นการเปิดแนวทางใหม่ในการสร้างสรรค์บัลเลต์ อาจกล่าวได้ว่าบัลเลต์เรื่องนี้เป็นการแสดงรูปแบบใหม่คือ เป็นบัลเลต์ที่มีเนื้อเรื่องชวนขบขัน
La Fille Mal Gardeé - ลูกสาวแสนซน
4.)สมัยบัลเลต์โรแมนติก
       บัลเลต์ในสมัยโรแมนติกไม่มีชนชั้นสูงมาอุปถัมภ์แล้ว แต่ได้เกิดผู้ชมกลุ่มใหม่คือชนชั้นกลาง ซึ่งไม่มีความรอบรู้ทางศิลปะมากนัก คนพวกนี้ประสงค์จะเลียนแบบชนชั้นสูง ผู้ชมบัลเลต์โดยทั่วไปต้องการเพียงได้ลืมชีวิตที่น่าหดหู่ของตนชั่วคราว เพราะการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงนั้นส่งผลให้ชีวิตผู้คนในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เปลี่ยนแปลงไป  สังคมเมืองเต็มไปด้วยปัญหาสภาพความเป็นอยู่ที่น่าหดหู่ ศิลปินพวกหนึ่งจึงได้คิดหาแนวทางใหม่เพื่อสื่อความรู้สึกและแสดงออกทางศิลปะ เกิดเป็นคติโรแมนติก(Romanticism)ขึ้น คือมีความเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยึดถือเหตุผลและเน้นคุณค่าของปัจเจกบุคคลมากกว่าประเพณี การแสดงบัลเล่ต์จึงเน้นการแสดงออกทางอารมณ์
        เครื่องแต่งกายในสมัยนั้น กระโปรงบัลเลต์เรียกเป็นภาษาแสลงของฝรั่งเศสว่า ตูตู - tutu  แบบยาวครึ่งน่องเรียก "ตูตูแบบโรแมนติก" แบบสั้นเต่อเรียกว่า "ตูตูแบบคลาสซิเคิล"  บัลเลต์บางฉากที่ผู้แสดงสตรีสวมชุดบัลเลต์สีขาวจนดูโพลนไปทั้งเวที เรียกกันว่าบาเล บลอง - ballet blanc(บัลเลต์ชุดขาว)
         ฟีลิปโป ตาลโยนี Filippo Taglioni ประดิษฐ์ลีลาบัลเลต์เรื่อง ลา ซิลฟีด ให้ลูกสาวชื่อมารี เป็นผู้เต้นนำ ดนตรีประพันธ์โดยชไนท์เซอเฟอร์ - Schneitzhoeffer แสดงครั้งแรกที่โรงโอเปราแห่งปารีสเมื่อปีค.ศ. 1832  ผลปรากฏว่าประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างสูง จนถือกันว่า ลา ซิลฟีด เป็นบัลเลต์โรแมนติกเต็มรูปแบบเรื่องแรก บัลเล่ต์เรื่องนี้เป็นอุปมาว่า แม้มนุษย์จะเพียรแสวงหาความงามและความสุขสมใจ พยายามไขว่คว้าความฝัน แต่ก็ไม่มีวันได้ครอง เปรียบดังคว้าเงา และหากครองไว้ได้ก็เพียงชั่วครู่เดียวก็มลายสูญไป
        ความโด่งดังของบัลเลต์เรื่องนี้ ทำให้บัลเลต์กลายเป็นศิลปะยอดนิยม และตาลโยนีคือดาราคนสำคัญแห่งยุค
La Sylphide จัดแสดงปี 2004 
ผู้แสดงเป็นนางไม้ ออเรลี ดูปงต์ Aurelie Dupont - La Sylphide 
มาติเยอ กันโย แสดงเป็น เจมส์ Mathieu Ganio - James

ละครโด่งดังในยุคนี้ ได้แก่ จีแซล Giselle

 จีแซล Giselle
  ฉากจีเซลเป็นบ้า - Mad scene
 
        นอกจากการเต้นรำ จีแซล ยัง มีฉากที่เป็นการแสดงละครที่น่าประทับใจหลายตอน เช่นฉากเกี้ยวพานในองก์หนึ่งของเรื่อง มีฉากเด็ดกลีบดอกมาร์เกอริต (ดอกเดซี่) เสี่ยงทายว่าพระเอกรักจริงหรือไม่ ด้วยบทกลอนว่า “บอกฉันหน่อย ดอกมาร์เกอริต เขารักฉันนิดหน่อย รักมาก รักคลั่งไคล้ใหลหลง หรือไม่รักเลย” เมื่อกลีบสุดท้ายตรงกับ ข้อความท่อนใดก็เท่ากับทำนายว่าเป็นเช่นนั้น
        อนึ่ง ท่าทางส่งภาษาใบ้ที่ใช้ในบัลเลต์ มักแปลจากภาษาฝรั่งเศสออกมาเป็นกิริยา เช่น กิริยาพระเอกบอกว่า "ฉันรักเธอ" พระเอกก็ชี้ที่ตนเอง ชี้ที่นางเอก แล้วเอามือวางทาบที่หัวใจของตน ที่เรียงลำดับกิริยาเช่นนี้ ก็เป็นไปตามไวยากรณ์ภาษาฝรั่งเศส ที่วางสรรพนามที่เป็นกรรมไว้หน้าคำกริยา คือพูดว่า ฉัน-เธอ-รัก
        ปา เดอ กาตร์ - Pas de Quatre (การเต้นสี่คน) แสดงหน้าพระที่นั่งพระนางเจ้าวิกตอเรีย ที่ประเทศอังกฤษ การแสดงครั้งนี้ประกอบด้วยดาราบัลเลต์ทั้งสี่คนแสดงร่วมกัน โดยแต่ละคนได้เต้นเดี่ยวแสดงความสามารถเฉพาะตัวด้วย บัลเลรีนาทั้งสี่คน ได้แก่ ตาลโยนี, แชร์รีโต, กรีซี และกราน เล่ากันว่าแต่ละนางเกี่ยงกันให้คนอื่นออกเวทีก่อน และต่างก็ต้องการออกแสดงเป็นคนสุดท้ายในชุดนั้น จนเป็นที่ปวดเศียรเวียนเกล้าของผู้ออกแบบนาฏกรรมคือ ชูล แปโร แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าให้ผู้อาวุโสที่สุด (ตาลโยนี) ออกแสดงช่วงเต้นเดี่ยวเป็นคนสุดท้าย

5.)สมัยบัลเลต์คลาสสิก-บัลเลต์อิมพีเรียล

        บัลเลต์ในยุโรปก็ได้พัฒนาต่อไป โดยมีศูนย์กลางของพัฒนาการ ย้ายมาที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในประเทศรัสเซียแทนปารีส สมัยนี้เรียกว่าสมัยบัลเล่ต์คลาสสิก แต่เนื่องจากคำว่า คลาสซิเคิล - classical ใช้เรียกรูปแบบการเต้นรำที่มีแบบแผน  เมื่อพูดคำนี้เราก็นึกถึงการเต้นรำที่มีการเขย่งขึ้นปลายเท้าและเต้นตามกฎเกณฑ์ในตำรา  ดังนั้นเมื่อพูดว่าคลาสซิเคิล บัลเลต์ หรือบัลเลต์คลาสสิก ผู้พูดจึงอาจหมายความครอบคลุมถึงบัลเลต์ที่แสดงกันในสมัยบัลเลต์โรแมนติก เช่น ลา ซีลฟีด ต่อมาจึงเรียกบัลเลต์ที่พัฒนาขึ้นที่รัสเซียในสมัยหลังบัลเลต์โรแมนติก อิมพีเรียลบัลเล่ต์ (Imperial Ballet - บัลเลต์ในพระจักรพรรดิ [แห่งรัสเซีย])
โรงโอเปราและบัลเลต์มารียินสกี Maryinsky [แปลว่า "ในพระนางมารี"] 
ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (เลนินกราด)  ภาพถ่ายเมื่อประมาณค.ศ.1895 (พ.ศ.2438)
        บัลเลต์คลาสสิกรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงปี ค.ศ. 1880 - 1910 เรียกว่าเป็น "ยุคทองของ
บัลเลต์คลาสสิก"
บัลเลต์คลาสสิกยึดถือเทคนิคการเต้นบัลเลต์ "ตามตำรา" อย่างเคร่งครัด ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า เทคนิคบัลเลต์ตามหลักวิชา (academic ballet technique) ฝรั่งเศสเรียกว่า ดองส์ เดกอล (danse d'école)
 ตำแหน่งการวางเท้า 5 ท่าของบัลเล่ต์คลาสสิค
ตำแหน่งการวางแขน 3 ท่าของบัลเล่ต์คลาสสิคสำนักรัซเซีย

 ท่าพื้นฐานที่เรียกว่า อาราเบสก์ ["แบบอาหรับ"] แบบสำนักรัสเซีย
 ท่าพื้นฐานชื่อท่าอัตตีตู๊ด เอฟฟาเซ่ (Attitude Éffacé)
คือจากมุมมองของผู้ชม ต้องเห็นขาทั้งสองข้างของผู้เต้นไม่ไขว้กัน
(ถ้าเป็นแบบเห็นขาไขว้บังกันอยู่เรียกว่า แบบครัวเซ - 
Croisé)
ในภาพเป็นการเปรียบเทียบ "ทรง" ของท่าเดียวกันของสามสำนักคือ
จากซ้ายสุด สำนักฝรั่งเศส รัสเซีย และอิตาเลียน
        การแต่งกายของบัลเล่ต์ในยุคนี้เป็นกระโปรงสั้นเรียกว่า กระโปรงตูตูแบบคลาสสิก (Classical tutu)
มารีอูส เปอตีปา - Marius Petipa 
        ชาวฝรั่งเศส เคยเป็นนักเต้นนำในคณะบัลเลต์ที่ปารีสโอเปรา ต่อมาได้จากปารีสมาเป็นนักเต้นนำประจำ คณะบัลเลต์หลวงของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ประดิษฐ์ลีลาประจำคณะบัลเลต์
บัลเล่ต์ของเปอตีปามีลักษณะเป็นบัลเลต์คลาสสิกอย่างแท้จริง เปอตีปานิยมสร้างบัลเลต์ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ใช้ผู้แสดงจำนวนมาก
     บัลเลต์เรื่องเอกที่ออกแบบท่าเต้น ได้แก่ ดอน กีโฆเต - 
Don Quixote, ลา บายาแดร์ - La Bayadère, สวอน เลก -Swan Lake, เดอะ นัตแคร็กเกอร์ - The Nutcracker , เจ้าหญิงนิทรา - The Sleeping Beauty, เรย์มอนด้า - Raymonda ฯลฯ
ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพลงคลาสสิคของไชค็อฟสกีในการบรรเลง
 
 ปิโยตร์ อิลยิช ไชค็อฟสกี 
 
6.)บัลเลต์สมัยใหม่-บัลเลต์ รุส
The Dying Swan แสดงโดย Anna Pavlova
The Dying Swan แสดงโดย Maya Plisetskaya - มายา ปลิเซตสกายา

7.)บัลเลต์สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

Spring Waters

ผู้แสดง: Maria Bylova - มาเรีย บึโลวา และ Leonid Nikonov - เลโอนิด นิโกนอฟ

จากคณะบัลเลต์บอลชอย

Bach's Prelude ผู้ออกแบบนาฏศิลป์: ดนตรี: J.S. Bach (Prelude No. )

ผู้แสดง: Maya Plisetskaya

สรุปจาก : http://ballet-history.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Think-Tank : อาชีพที่คนไทยควรรู้จัก

       ถ้าพูดถึง Think-Tank ในประเทศไทย จะต้องเป็นคำที่ไม่คุ้นหูกันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ใช้อินเตอร์เน็ต แทบจะไม่รู้จักอาชีพนี้เลย แต่มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ
       Think Tank หมายถึง กลุ่มคนที่เปรียบเสมือนคลังสมอง คือกลุ่มที่ชอบคิดนั่นแหละค่ะ แต่คิดออกมาแล้วจะต้องมีประโยชน์ ในประเทศไทยอาชีพนี้น่าจะเรียกว่า"นักคิด"มั้งคะ มีนักคิดหลายๆคนมาร่วมกันระดมสมอง เพื่อกำหนดวิธีการหรือแก้ไขปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และจะต้องมีหน่วยงานเป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่ทำกันแค่ชั่วคราว Think Tank เป็นอาชีพที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน และจีน แล้วเพราะอะไรที่ทำให้อาชีพนี้เป็นอาชีพธรรมดาทั่วไปของประเทศที่พัฒนาแล้ว? นั่นเพราะ ก่อนที่เขาจะพัฒนาได้ ต้องมีThink Tank!

       ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ อย่างแรกที่ต้องทำก็คือคิดนี่แหละค่ะ แล้ว Think Tank เขาคิดอะไรกัน?
อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสังคมที่พวกเขาอยู่เลยค่ะ เพราะถ้าได้อ่านประวัติการก่อตั้งองค์กรคลังสมองนี้ครั้งแรก เชื่อกันว่าเริ่มต้นจากการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการตั้ง War Room(ห้องบัญชาการสงคราม) ขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทำหน้าที่วางแผนนโยบายต่างๆโดยเฉพาะการทหาร

        ต่อมาองค์กรนี้ได้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา และมีการทำหน้าที่อย่างหลากหลาย ไม่ใช่แค่การเมืองการปกครองเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งปัจจุบันนี้สหรัฐมีองค์กร Think Tank เป็นจำนวนมากที่สุดในโลก ซึ่งปัจจัยสำคัญคือ"สหรัฐเป็นสังคมของการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์(debating society) ที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้ความรู้และงานวิจัยเป็นหลัก รวมทั้งเป็นสังคมที่มีลักษณะพหุสังคมที่แท้จริงคือปล่อยให้กลุ่มต่างๆ สามารถแสดงความคิดเห็นได้หลากหลาย มีเสรีภาพในการแสดงออก(freedom of expression) เสมือนเป็นวัฒนธรรม วิถีของสังคมว่า คนชอบคิด ชอบศึกษา ชอบวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยู่บนพื้นฐานของการวิจัยและการมีข้อมูลที่เพียงพอเพื่อประกอบการวิจารณ์ การที่ฐานของสหรัฐอเมริกาโตเร็วและเป็นศูนย์กลาง think tank ของโลก ก็เพราะว่า ทั้งในส่วนของค่านิยม วิธีคิด วิถีสังคมแล้ว ยังมีลักษณะทางระบบเศรษฐกิจเอื้ออำนวย เพราะภาคเอกชนเป็นพวกที่ชอบคิดเช่นเดียวกัน"

        ประเทศที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ จีน ในช่วงที่จีนมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ เป็นช่วงเดียวกับการมีThink Tank เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในจีน ซึ่งหลักๆคือพวกที่คิดเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันจำนวนThink Tankในสหรัฐก็ยังคงมีมากที่สุดในโลก
และไม่ต้องไปไหนไกลค่ะ อินเดีย กัมพูชา ประเทศเหล่านี้ก็มีThink Tank เช่นเดียวกัน องค์กรThink Tank อาจจะสังกัดหรือไม่สังกัดหน่วยงานราชการก็ได้ ขึ้นอยู่กับระบอบการปกครองของแต่ละประเทศ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก http://www.siamintelligence.com/songsak-interview/ )
        และนี่เป็นข้อมูลที่น่าใจหายมากค่ะ แต่เป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเก่านะคะ ตั้งแต่ปี2552     
  Think-Tank ในประเทศไทย เปรียบเทียบกับทั่วโลกและเอเชีย
1
จำนวน Think-Tank ทั่วโลก 5,080
2
จำนวน Think-Tank ในเอเชีย 601
3
จำนวน Think-Tank ในประเทศไทย 8

3.1
สัดส่วนต่อ Think-Tank ทั่วโลก (%) 0.16

3.2
สัดส่วนต่อ Think-Tank ในเอเชีย (%) 1.33

3.3
Rank ในระดับโลก 83 (ใน 193)

3.4
Rank ในระดับภูมิภาค (เอเชีย) 16 (ใน 34)
       
        แต่ผ่านมา 3 ปี จนกระทั่ง 2555 ประเทศของเราก็ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่เดิม...
แต่อย่าเพิ่งท้อกันค่ะ พอดีเพิ่งได้ข้อมูลใหม่มา คือมีการผลิตหนังสือ "Transform Thailand – การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย" ซึ่งขับเคลื่อนโครงการโดยผู้นำรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับThink Tankนี่แหละค่ะ 1ในนั้นมีพี่สิงห์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ซึ่งเป็นไอดอลของพิมด้วยค่ะ(แอบโปรโมท ฮ่าๆ) ดูรายละเอียดได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://thai-ahr.org/2012/03/06/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-transform-thailand-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5/

         ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่าทำไมต้องเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจก่อน แต่โดยส่วนตัวเห็นด้วย เพราะคิดว่าจะพัฒนาประเทศได้ต้องเริ่มจากปากท้องของประชาชนก่อนค่ะ เห็นได้จากต้นเหตุของปัญหาเกือบทั้งหมดก็เริ่มจากเรื่องเงินๆทองๆและความไม่ยุติธรรมจากการกระจายรายได้ที่ไม่เหมาะสมนี่แหละ ไม่เพียงเท่านี้นะคะพื้นฐานทางจิตวิทยาก็ได้บอกไว้ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับกันว่าปัจจัยสี่(อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค)เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ตามกฏความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ของอับราฮัม มาสโลว์

        จริงๆใช่ไหมหล่ะคะ มนุษย์เราอยู่รอดได้ด้วยปัจจัยสี่นี่แหละค่ะ เรื่องความรัก ศรัทธา หรือศักดิ์ศรี เอาเข้าจริงๆแล้วมาทีหลังค่ะ เพราะฉะนั้นการคิดวางแผนอะไรก็แล้วแต่ สำคัญคือต้องรู้ใจคน เพราะเราอยู่ในสังคม เราอยู่กับคนค่ะ
        ที่ผ่านมาสังเกตได้ชัดเจนมากว่าสังคมของเรา เรื่องดีๆอย่างนี้จะไม่ค่อยดังค่ะ คุณทรงศัก สายเชื้อ รองอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ ประจำกระทรวงต่างประเทศ ได้พยายามออกมาจุดประกายความสำคัญของ Think Tank ได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ตามลิ้งค์นี้ค่ะhttp://www.siamintelligence.com/songsak-interview/ แต่น่าแปลกมากค่ะเรื่องดีๆอย่างนี้ไม่ถูกกดไลค์ในเฟซบุ๊คและแทบจะไม่ได้รับความสำคัญเลย น่าเสียดายจริงๆค่ะคนดีไม่มีที่ยืนในสังคมไทย สุดท้ายนี้ขอฝากคำพูดของคุณทรงศัก สายเชื้อ ไว้นะคะ
        “ต้องการเห็นสังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้ การศึกษาวิจัย การใช้วิจารณญาณที่มีข้อมูล ที่มีการศึกษารองรับ มากกว่าการใช้วาทศิลป์ในการตอบโต้กัน”

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

Where it is today?

Yesterday is History,
'tis so far away --
yesterday is Poetry,
'tis Philosophy --

Yesterday is Mystery --

Where it is today --
While we shrewdly speculate
Flutter both away
(Emily Dickinson's poem #1292)
 
If you have ever watched the Craig Ferguson show you will hear:
“Tomorrow is just. . . 
a future. . . 
Yesterday.”

And I really like this one!
“Yesterday is a canceled check; tomorrow is a promissory note; today is the only cash you have - so spend it wisely”
Kay Lyons
Why everyone forget today? I think we are eating the rigour for anticipating happiness of the future. Do you know the human being is the only animal that thinks about the future? You can read more, click http://www.enotalone.com/personal-growth/5889.html
Maybe that beautiful tomorrow is swallowing your happiest today.
 "Don't be ignored your happiness for the false fashions!"




Today is a gift : 10 Reasons to love your life today.

Yesterday’s the past, tomorrow’s the future, but today is a gift. That’s why it’s called the present. #Bil Keane
 

Today is a gift. We have all the reasons to be excited about today, but too often we forget about it. We may end up complaining and feel bad about today. Don’t let it happen. Let’s count your blessings and see why you should love your life today:

1. Today you are healthy
We are so used to being healthy that we forget how good being healthy is. Sometimes we need to be sick to appreciate the blessing of being healthy.
2. Today you have someone who loves you
Being lonely is terrible. Today, if you have someone who loves you, you have something more valuable than wealth.
3. Today you have opportunity to love
Not only do you have someone who loves you, today you also have the opportunity to love them – and other people – back.
4. Today you have good meals to eat
If you can eat a good meal today, just remember that many people can’t. Many people struggle to eat even once a day.
5. Today you have a job
Many people are jobless. If you aren’t, you have a reason to be excited about your work.
6. Today you live in peace
I just can’t imagine living in the midst of war. Fear and terror will always haunt me. I could lose the people I love anytime. I could even lose my life.
7. Today you have clean air to breathe
You don’t have to wear a mask, do you? Many people in the world must. In some parts of the world the air quality is so bad people can no longer breathe freely.
8. Today you are safe
You can go to the places you want without worrying that something bad will happen to you. That’s something to be grateful for.
9. Today you have opportunity to give
Giving is among the best ways to increase your happiness and today you have the opportunity to give.
10. Today is a new day
Forget the past. Forget yesterday. Today you have the opportunity to begin anew.

Thanks : http://www.lifeoptimizer.org/2008/04/25/today-is-a-gift-10-reasons-to-love-your-life-today/