วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

เรียนภาษาฝรั่งเศสเบื้องต้น

สิ่งที่เราควรรู้สำหรับการเริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศสเบื้องต้น

1.)ขั้นแรกต้องเริ่มจากเรียนรู้คำศัพท์ง่ายๆ เช่น ประโยคที่ได้ยินบ่อยๆในชีวิตประจำวัน คำนาม คำสรรพนาม การนับเลข
       -เรื่องคำสรรพนาม http://www.rn.ac.th/kk/pronomtonique.html
       -การนับเลข http://www.aoddy.com/2009/04/26/how-to-count-numbers-in-franc/
 ***ที่สำคัญ อย่าลืมรู้ศัพท์การแยกชายหญิงด้วยนะคะ http://www.larousse.fr/dictionnaires/francais/noir

2.)เรียนรู้คำกริยา ซึ่งในประเทศทางตะวันตกมักจะมีการแบ่งกริยาออกเป็นกลุ่มๆ เหมือนภาษาอังกฤษที่มีการผันกริยาตาม tense ต่างๆ

       กริยาในภาษาฝรั่งเศสแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
       1.กลุ่มที่ลงด้วย er เช่น manger (มองเช่) กิน
       2.กลุ่มที่ลงท้ายด้วย ir เช่น punir (ปูนี) ลงโทษ
       3.กลุ่มที่เป็นกริยาพิเศษ เช่น être (แอท(เทรอะ)) เป็น อยู่ คือ  หรือว่า ลงท้ายด้วย re เช่น apprendre (อับปรอง(เดรอะ)) เรียน

แต่เวลาเอาไปใช้สื่อสารกัน กริยาเหล่านี้จะต้องผันไปตามประธานด้วย ยกตัวอย่างเช่น
  V.parler (ปัค เล่) พูด
Je        parle
Tu       parles
Il         parle
Elle      parle
Nous    parlons
Vous    parlez
Ils       parlent
Elles    parlent

หลักการผันกริยาก็คือ

Je        parle      ตัด r ออก
Tu       parles     ตัด r ออก แล้วเติม s
Il         parle       ตัด r ออก
Elle     parle      ตัด r ออก
Nous   parlons  ตัด r ออก เปลี่ยน e เป็น ons อ่านว่า อง
Vous   parlez     ตัด r ออก เปลี่ยนเป็น ez อ่านว่า เอ่
Ils       parlent    ตัด r ออก เปลี่ยนเป็น ent  อ่านออกเสียงสูง ไม่อ่านออกเสียง ent
Elles    parlent    ตัด r ออก เปลี่ยนเป็น  ent  อ่านออกเสียงสูง ไม่อ่านออกเสียง ent

ยกตัวอย่างการอ่าน
Je         parle      (ปาล)
Tu        parles    (ปาล)
Il          parle      (ปาล)
Elle       parle      (ปาล)
Nous     parlons  (ปาค ลง)
Vous     parlez     (ปาค เล่)
Ils        parlent    (ป๊าล)
Elles     parlent    (ป๊าล)
       
แต่นอกจากนี้ก็ยังมีการผันกริยาแบบอื่นๆอยู่ด้วย เรียนด้วยตัวเองผ่านลิ้งค์นี้ http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=7035&mul_source_id=011279

3.)ต้องรู้เรื่องของคำคุณศัพท์(adj) คำวิเศษณ์(adv)

4.)เรียนรู้การแต่งประโยค
         ประโยคบอกเล่าก่อนนะคะ Le pantalon est bleu.
       คำถามแบบสมบูรณ์แบบปิด ภาษาพูด Le pantalon est bleu ?
       คำถามแบบสมบูรณ์แบบปิด ภาษาเขียน Est-ce que le pantalon est bleu ?
       คำ ถามแบบสมบูรณ์แบบเปิด ภาษาทางการหรือภาษาเขียน De quelle couleur est le pantalon ?

5.)เรียนพวกคำเชื่อม คำอุทานต่างๆเพิ่มเติม เพราะหลังจากแต่งประโยคได้แล้ว เราก็จะต้องเอาประโยคมาเชื่อมกันในการใช้สื่อสาร

6.)หลังจากนั้นก็ยังมีการบอกเวลา การเขียนจดหมาย รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ^^


วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

FW MAIL : ทฤษฏีลูกเป็ดตัวสุดท้าย

มีคนเคยบอกว่า “อย่าคิดว่าลูกเป็ดตัวสุดท้ายในเล้า เป็นลูกเป็ดที่ขี้เหร่ที่สุด”

ฟาร์ม เป็ดบอกขายลูกเป็ดเพิ่งเกิดใหม่ ผู้คนต่างเดินทางมาจากทุกสารทิศเพื่อเลือกซื้อเป็ดที่ดีที่สุดไปเป็นแม่ พันธุ์ เป็ดแต่ละตัวได้ถูกตั้งราคาไปตามเกณฑ์มาตรฐาน


วันที่หนึ่ง ผ่านไป มีลูกเป็ดหลายตัวถูกซื้อไป จำนวนลูกเป็ดในเล้าที่บอกขายลดน้อยลง ยิ่งหลายวันเข้า จำนวนลูกเป็ดก็น้อยลงไปเต็มที ลูกเป็ดตัวท้าย ๆ เริ่มมีอาการหงอยเหงา เศร้าใจอย่างยิ่งที่เห็นเพื่อน ๆ ที่เกิดมาพร้อม ๆ กัน ต้องถูกเลือกไปทีละตัว ๆ ในที่สุดก็เหลือลูกเป็ดตัวสุดท้าย...

ลูก เป็ดตัวสุดท้ายนั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว ลูกเป็ดก้มลงมองเงาของตัวเองในชามใสน้ำที่มุมหนึ่งของเล้าเป็ด แล้วโทษตัวเอง
  “ฉันขี้เหร่ที่สุดใช่ไหม? ทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกฉัน?”


ลูกเป็ดนั่งจมอยู่กับความทุกข์ ที่ไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกเสียที
ทุก ๆ วันจะมีผู้คนมาวนเวียนก้มลงดูลูกเป็ดตัวสุดท้ายในเล้า แล้วก็ซุบซิบกับเจ้าของฟาร์มพักใหญ่ สุดท้ายผู้คนเหล่านั้นก็เดินจากไปโดยที่ไม่ได้นำลูกเป็ดตัวสุดท้ายไป

ลูกเป็ดยิ่งเสียใจ โทษความขี้เหร่ของตัวเอง ตอกย้ำให้ยิ่งเศร้าไปกันใหญ่...

วัน หนึ่งหนูนาที่เห็นลูกเป็ดตัวสุดท้ายร้องไห้จนตาแดงก่ำ ทนไม่ได้ที่เห็นลูกเป็ดตัวสุดท้ายนั่งโทษว่าความขี้เหร่ของตัวเองทำให้ไม่มี ใครเลือก หนูนาบอกกับลูกเป็ดตัวสุดท้ายว่า
“ที่ไม่มีใครเลือกเธอไป เลี้ยง ไม่ใช่ว่าเธอขี้เหร่หรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเจ้าของฟาร์มตั้งราคาเธอไว้สูงกว่าลูกเป็ดตัวอื่น ๆ เท่านั้นเอง พวกคนที่มาเลือกซื้อลูกเป็ดต่างก็มีเงินไม่พอที่จะซื้อเธอไป พวกเขาต่างสนใจในตัวเธอ และอยากได้เธอ เพียงแต่ว่าค่าของเธอมากเกินกว่าที่พวกเค้าจะมีจ่าย เพื่อให้ได้เธอไปเท่านั้นเอง”


การที่ลูกเป็ดตัวสุดท้ายยังไม่ ได้ถูกเลือก ไม่ได้หมายความว่า คุณค่าของลูกเป็ดน้อยลงเลย มองกลับกัน มันอาจจะมีค่ามากที่สุดในกลุ่มลูกเป็ดทั้งหลายก็ได้ ลูกเป็ดตัวนี้จึงเพียงต้องรอคอยคนที่มีเงินพอจะจ่าย “ค่า” ของลูกเป็ดได้



ในขณะเดียวกัน ลูกเป็ดไม่ได้เป็นผู้รอคอย แต่คุณค่าของลูกเป็ดตัวสุดท้ายเป็นข้อกำหนดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติคู่ควร จึงจะมีสิทธิ์ได้ลูกเป็ดไปครอบครอง

เช่นเดียวกันกับ “คุณ” การที่คุณยังไม่ได้ถูกเลือก นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณต้องรอ และเป็นฝ่ายถูกเลือกเพียงฝ่ายเดียว คุณค่าของคุณ เป็นตัวกำหนดผู้ที่คู่ควรกับคุณไว้อยู่แล้ว ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณมากมาย ย่อมต้องมีหลายคนที่สนใจในตัวคุณ แต่ใช่ว่าเขาเหล่านั้นคู่ควรที่จะได้คุณไปครอง

"เมื่อวัน หนึ่ง.... คนที่คู่ควร และมีค่าพอสำหรับคุณเดินเข้ามาในชีวิตคุณ ... คนที่ใช่... เขาจะไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ครอบครองคุณหลุดมือไปอย่างแน่นอน"
 
อย่าประเมินค่าของลูกเป็ดตัวสุดท้ายผิดไป...



ขอบคุณบทความจาก   http://variety.teenee.com/foodforbrain/30986.html
แลผู้ส่งต่อจดหมายอิเล็กทรอนิกส์จาก คุณจันจิรา โอวาทวงค์
Via : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2394117 

Lovely Blogs

พาสเทล(PASTEL) คือ อะไร ?
Ans ความหมายตาม Dictionary
Pastel หมายถึง ดินสอสี ชอล์กสี หรือสีซีด สีจาง
ซึ่งจะทำให้คนมองรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ
และอบอุ่น ;)
ตัวอย่างโทนสีพาสเทล
███████ - #E6E5B6
███████ - #C6AB46
███████ - #A9948E
███████ - #6A612D
███████ - #EEB5C4
███████ - #ABB6DC
███████ - #BBD7DF
███████ - #DFF9E7
███████ - #CADBA1
███████ - #FFF578
███████ - #FCCACC

 




วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

นิทานของกระดาษ

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้... มีกระดาษสีขาวอยู่แผ่นหนึ่ง ที่อยากจะออกมาผจญภัยนอกกองกระดาษ มันจึงตัดสินใจเลื่อนตัวเองออกมาจากรีมกระดาษที่เคยอยู่ และออกเดินทางค้นหาสิ่งใหม่ๆที่มันไม่เคยพบเคยเห็น ซึ่งทำให้กระดาษแผ่นนี้ได้ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆมากมายเกินกว่าที่จะบรรยาย ได้หมด แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้มันต้องจดจำไปชั่วชีวิต เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้มันไม่สามารถกลับไปเป็นกระดาษสีขาวแผ่นเดิมได้อีก...

เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อกระดาษได้เป็นเพื่อนกับปากกา ปากกากับกระดาษเข้ากันได้เป็นอย่างดีเพราะปากกานั้นอยากที่จะลองเขียนข้อ ความและวาดลวดลายใส่บนตัวกระดาษที่ขาวสะอาด แต่กระดาษก็ยังคงห่วงความขาวสะอาดของตนเอง ไม่อยากให้ตนเองต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหมึกจากปากกา จึงปฏิเสธปากกาอยู่เรื่อยมา ถึงอย่างนั้นปากกาก็ยังคงเก็บความต้องการของตน อยู่ในใจ และยังคงยอมเป็นเพื่อนกับกระดาษ

จนกระทั่ง...ในวันหนึ่งขณะที่กระดาษกำลังจะเดินผ่านดินสอที่อยู่ข้าง ทาง จู่ๆดินสอก็พุ่งปลายแหลมสีดำของตนเองเข้ามาขีดเขียนข้อความใส่กระดาษอย่าง บ้าคลั่ง กระดาษผู้น่าสงสารไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ จึงถูกดินสอขีดเขียนจนเต็มหน้ากระดาษ

หลังจากนั้นดินสอก็จากไป ทิ้งให้กระดาษที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคาร์บอนเศร้าโศกกับรอยเปื้อนที่ดินสอเป็น ผู้มอบให้ กระดาษแบกรับคาร์บอนไว้บนตัว และตัดสินใจที่จะเดินทางกลับไปหาเพื่อนเก่าของตนนั่นคือกองกระดาษกองเดิมที่ ขาวสะอาดและถูกเก็บเรียบร้อยอยู่ในซอง

"กลับไปซะ เจ้าไม่ขาวสะอาดเหมือนพวกเราอีกแล้ว" กระดาษสีขาวสะอาดแผ่นหนึ่งในกองกระดาษพูดขึ้น

"เจ้ามีเนื้อตัวมอมแมมเช่นนี้ หากอยู่รวมกับพวกเราจะทำให้เราเลอะไปด้วย" กระดาษ อีกแผ่นหนึ่งพูดขึ้น แม้กระดาษในกองนั้นจะไม่ได้พูดเหมือนกันทุกแผ่น แต่ก็ไม่มีกระดาษแผ่นใดยอมรับกระดาษเปื้อนคาร์บอนแผ่นนี้เลย กระดาษแผ่นนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเดินทางกลับไปหาปากกา เพื่อนซึ่งมันได้พบระหว่างการผจญภัย เพื่อให้ปากกาช่วยเหลือ

เมื่อกระดาษเดินทางมาถึงที่พักของปากกา จึงเรียกให้ปากกาออกมาหา เมื่อปากกาเห็นกระดาษ ปากกาไม่สามารถจำกระดาษได้เลย เพราะกระดาษไม่ได้ขาวสะอาดเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เมื่อได้คุยกันจึงเชื่อว่ากระดาษที่อยู่ตรงหน้าเป็นกระดาษแผ่นเดียวกับ ที่เป็นเพื่อนของตน ปากกาจึงตอบตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือกับกระดาษซึ่งเป็นเพื่อนของเขา

ปากกาตัดสินใจจะพากระดาษไปพบกับยางลบซึ่งเป็นเพื่อนของเขา ทั้งคู่จึงเริ่มออกเดินทางไปหายางลบ

ระหว่างทาง...กระดาษกับปากกาก็ได้พบกับกระดาษอีกเป็นจำนวนมากซึ่งอยู่ใน กองกระดาษReuse ซึ่งกระดาษทุกแผ่นในกองนั้นล้วนแล้วแต่มีร่องรอยเปรอะเปื้อนเต็มหน้า กระดาษ1หน้า และมีด้านที่ยังขาวสะอาดอีกหนึ่งด้าน ในจำนวนนั้นมีกระดาษบางแผ่นซึ่งถูกดินสอขีดเขียนใส่เช่นเดียวกันกับกระดาษ แผ่นนี้

กระดาษในกองนั้นต่างก็พยายามชักชวนให้กระดาษแผ่นนี้เข้าไปอยู่ด้วย และได้พูดขึ้นว่า

"ถึงจะถูกขีดเขียนไปแล้วหนึ่งด้าน แต่เจ้าก็ยังมีประโยชน์อยู่นะ"  กระดาษที่ถูกหมึกพิมพ์ไปแล้วด้านหนึ่งพูดขึ้น

"มาอยู่กับพวกเราเถอะ อีกด้านหนึ่งของเจ้ายังใช้ได้ พวกเราเหมือนกันนะ"  กระดาษที่ถูกดินสอเขียนลงไปบนตัวเหมือนกันได้ชักชวนซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กระดาษที่เคยขาวแผ่นนี้เปลี่ยนใจ และยังตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าต่อไปเพื่อพบกับยางลบ....

เมื่อกระดาษและปากกา ได้พบกับยางลบ ยางลบได้ตอบตกลงที่จะช่วยกระดาษ ลบรอยคาร์บอนที่ดินสอทิ้งไว้ออกให้ แต่กระดาษจะต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก ซึ่งกระดาษก็ตอบตกลง การลบจึงได้เริ่มต้นขึ้น เสียงร้องของกระดาษทำให้ปากกากระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะทิ้งเพื่อนและเดินทางกลับไปก่อน...

หลายชั่วโมงผ่านไป การลบของยางลบก็เสร็จสิ้น ซึ่งก็ทำให้ยางลบหดเล็กลงไปมาก แต่ยางลบก็เต็มใจที่จะทำเพื่อความขาวสะอาดของกระดาษ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น ยังไม่เป็นที่พอใจของกระดาษเท่าใดนัก เพราะยังมีบางจุดบนกระดาษที่ยังมีรอยคาร์บอนจางๆที่ลบไม่ออกอยู่ นอกจากนี้ยังบางจุดบนตัวกระดาษที่เป็นขุย ทำให้กระดาษแผ่นนี้ไม่ขาวเหมือนเดิม

อย่างไรก็ดีกระดาษก็ขอบคุณยางลบและเดินทางกลับพร้อมกับปากกา ...ระหว่างทางกระดาษได้พบกับกองกระดาษReuseอีกครั้ง ซึ่งกระดาษในกองก็ยังได้ชักชวนกระดาษแผ่นนี้อีกเช่นเคย แต่กระดาษแผ่นนี้ก็ยังตัดสินใจว่าจะลองกลับไปหากระดาษสีขาวกองเก่าที่ตนเคย อยู่มาก่อน

และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กระดาษแผ่นนี้ถูกปฏิเสธ
"ไปซะเถอะ เจ้ายังมีรอยเลอะอยู่เลย จะมาอยู่กับพวกเราได้ยังไง"
"ผิวของเจ้าไม่เรียบเหมือนแต่ก่อนแล้ว จะเอามาใช้ประโยชน์แบบพวกเราได้ยังไง"

เสียงขับไล่ของเพื่อนเก่าที่เคยอยู่ในกองเดียวกันทำให้กระดาษเสียใจเป็น อย่างมาก ปากกาต้องคอยปลอบไม่ให้กระดาษเสียใจ และได้บอกกับกระดาษว่าเขายังรู้จักเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้รอยดินสอ กับขุยกระดาษบนตัวกระดาษหายไปได้

เมื่อได้ยินเช่นนั้นกระดาษแผ่นนี้ดีใจเป็นอย่างมาก เขากำลังมีความหวังอีกครั้งหนึ่ง....

หลังจากเดินทางไปไม่นานนักเขาก็ไปถึงบ้านของเพื่อนของปากกาที่มีชื่อว่า กรรไกร กรรไกรบอกกับกระดาษว่าจะทำให้ร่องรอยเลอะเทอะทั้งหมดไม่อยู่บนตัวของกระดาษ อีก แต่กระดาษจะต้องทนเจ็บมากกว่าที่ยางลบเคยทำกับกระดาษ

กระดาษอยากได้ความขาวที่ไม่มีรอยเปื้อนกลับคืนมา กระดาษจึงตัดสินใจยอมให้กรรไกรจัดการ

เมื่อเป็นเช่นนั้นกรรไกรจึงตัดรอยเปื้อนและขุยทั้งหลาย บนตัวของกระดาษออก ซึ่งนั่นทำให้กระดาษกลับมาขาวสะอาดทั้งแผ่นอีกครั้ง...

กระดาษซึ่งเปลี่ยนโฉมไปจากเดิมได้ตัดสินใจเดินทางกลับไปหากองกระดาษกอง เดิมที่เขาเคยอยู่อีกครั้ง ซึ่งคำตอบที่เขาได้รับคราวนี้กลับทำให้เขาเสียใจมากไปกว่าเดิมอีก

"ถึงเจ้าจะขาวไปทั้งตัว แต่เจ้าเป็นกระดาษที่ขาด จะไปมีประโยชน์เหมือนพวกเราได้ยังไง"

เสียงนั่นทำให้กระดาษเศร้าใจเป็นอย่างมาก และไม่คิดที่จะกลับไปหากองกระดาษกองเดิมอีก หลังจากที่นั่งเศร้าใจอยู่พักหนึ่ง มันก็คิดได้ว่ายังมีกองกระดาษReuse ซึ่งเคยเรียกให้มันเข้าไปอยู่ด้วยถึงสองครั้ง มันจึงไม่รอช้ารีบเดินทางไปหากองกระดาษกองนั้น
"ขอฉันเข้าไปอยู่กับพวกเธอด้วยสิ" กระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยรู เอ่ยขึ้น
"ไม่ได้หรอก ถึงเธอจะขาวสะอาดกว่าพวกเรา แต่เธอก็มีแต่รู ไม่ได้เป็นกระดาษเต็มแผ่นเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว"กระดาษเปื้อนหมึกแผ่นหนึ่งเอ่ยขึ้น
"ใช่ เธอไม่ได้มีหน้าว่างที่ขีดเขียนได้เต็มที่เหมือนกับพวกเรา เธอจะอยู่กับพวกเราไม่ได้หรอก" กระดาษ ที่เปื้อนรอยดินสอพูดขึ้น และนั่นทำให้กระดาษสีขาวที่มีร่องรอยการถูกตัด รู้สึกเสียใจและเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปร่วมกับกองกระดาษ Reuse ตั้งแต่แรก

....
...
..
.

"อย่าเสียใจไปเลย" ปากกาซึ่งคอยตามกระดาษมาห่างๆได้ปรากฏตัวขึ้น มันเดินตามกระดาษมาตลอดทาง เพราะความเป็นห่วงว่ากระดาษจะสามารถหาเพื่อนได้หรือไม่
"ตอนนี้ฉันเข้ากับใครก็ไม่ได้ ฉันมันไร้ค่า" กระดาษที่เต็มไปด้วยรูพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
"ไม่มีใครไร้ค่าหรอก เธอยังมีค่ากับโลกใบนี้อยู่" ปากกายังคงพูดปลอบใจกระดาษ
"ฉันนี่นะ มีค่า" กระดาษพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ปนสะอื้น เพราะคิดว่าปากกาแค่พูดปลอบไปตามสถานการณ์แต่ไม่ได้พูดจากใจจริง
"เธอยังมีค่าอยู่ ฉันสามารถทำให้เธอมีประโยชน์ขึ้นมาได้" ปากกาพูดย้ำถึงคุณค่าในตัวของกระดาษที่เต็มไปด้วยรูอีกครั้ง
"ยังไงล่ะ" กระดาษเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหูของตนเอง

....
...
..
.

หลังจากนั้นไม่นาน ไม่มีใครพบเห็นกระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยรูแผ่นนั้นอีก แต่บรรดาอุปกรณ์เครื่องเขียนทั้งหลาย ได้พูดกันว่าที่หน้าร้านขายเครื่องเขียนแห่งหนึ่งจะมีโมบายกระดาษสีขาวมี แผ่นหนึ่ง ซึ่งมีลวดลายสวยงามถูกแขวนประดับอยู่